Latest Movie :

ชิงรักหักสวาท - ตอนที่ 4

ละครช่อง 8
ละครเรื่อง – ชิงรักหักสวาท



ชิงรักหักสวาท ตอนที่ 4
เรื่องย่อ . . .

เมื่อเจ้าสัวแสนได้ลูกชายสมใจ จึงหันกลับมาให้ความสำคัญกับพวงแก้ว ที่มีลูกชายไว้เชิดชูวงศ์ตระกูลได้สำเร็จ  จึงสั่งให้บุหงาย้ายกลับไปอยู่ที่เรือนหลังเล็กแทน ส่วนพวงแก้วได้ย้ายกลับขึ้นมาอยู่บนเรือนใหญ่ เป็นเมียเอกดังเดิม ทำให้บุหงาคับแค้นริษยาและระบายความแค้นไปที่ลูกสาว

กาลเวลาผ่านไป เด็ก ๆ เติบโตขึ้นเป็นหนุ่มสาว เจ้าสัวแสน และพวงแก้ว ภูมิใจกับบุตรชายทั้งสอง ที่ฉลาด เอาใจใส่การงาน  ต่างกับบุหงาที่มีลูกสาว แต่ไม่เป็นโล้เป็นพาย  บุหงาได้แต่เก็บกดความอิจฉาไว้ในใจ เพื่อรอเวลาที่จะได้แก้แค้นพวงแก้วด้วยความริษยา

“หาญ” แอบพึงใจ “เดือน” (ทาสในใต้หล้าที่เจียมเนื้อเจียมตัว และมีความกตัญญู)  แต่ “ดาว” (ทาสในใต้หล้าที่มักใหญ่ใฝ่สูง) แอบหลงรัก “หาญ”  และมักจะอิจฉาริษยา “เดือน” อยู่เสมอมา  ในขณะที่ “กล้า” นั้น มีความสนิทสนมกับ “หยก” (หลานชายของซินแส “เทียน”) ที่เพียงมองตากัน ก็รู้ใจ


ชิงรักหักสวาท

ตอนที่ 4  :  ออกอากาศ - 9 กันยายน 2557





ชิงรักหักสวาทบทละคร
ชิงรักหักสวาท  เป็นละครโทรทัศน์ไทย แนวพีเรียด-ดราม่า

นำแสดงโดย                สมชาย เข็มกลัด, สุจิรา อรุณพิพัฒน์, ภัครมัย โปตระนันท์, สิทธา สภานุชาติ, กุลมาศ ลิมปวุฒิวรานนท์, ณปภัช วัฒนากมลวุฒิ และนักแสดงชั้นนำอีกมากมาย


วันใหม่ เจ้าสัวแสนอุ้มลูกชายในวัยแบเบาะ เด็กชายหาญอ้อแอ้ แสนยิ้มกว้างหยอกล้อลูก ดูมีความสุขมาก
      
       "ตาหนูลูกพ่อ"
       พวงแก้วอุ้มกล้า ลูกชายคนโตในวัย2ขวบ สีหน้าอิ่มเอิบ กระหยิ่ม เพราะมีลูกชายให้แสนได้สมใจ
       "ตั้งแต่ท่านเจ้าสัวอุ้ม ลูกยังไม่ร้องเลยนะเจ้าคะ"
       แสนหยอกลูก
       "พ่อเลี้ยงเก่งใช่ไหมล่ะ ชอบให้พ่ออุ้มใช่ไหมลูก โอ่โอ๊ เอ่เอ๊"
       "ตาหาญท่าทางจะติดท่านคุณพ่อเสียแล้ว เยี่ยงนี้ หากลูกไม่ยอมนอน แลเจ้าสัวไม่อยู่ใกล้ อิฉันจะทำฉันใดหนอ"
       พวงแก้วหย่อนไว้ให้แสนคิด เพื่อนางจะได้ย้ายไปเรือนใหญ่
       "ข้าก็จะมาไม่เว้น ยกเว้นยามติดธุระการงาน หรือไม่ หล่อนก็พาลูกไปพบข้าบ่อยๆสิ"
       "หรือไม่ ท่านเจ้าสัวก็ให้ลูกและอิฉันไปอยู่ใกล้ๆสิเจ้าคะ"
       แสนนิ่งคิด แก้วขยับเข้าไป โน้มน้าวแสน
       "ตาหาญ บุตรผู้จะนำมาซึ่งความรุ่งเรืองแก่ท่านเจ้าสัว หากจะเติบใหญ่ได้ดี คงต้องใกล้ชิดบิดาเพื่อเรียนรู้และซึมซับความเก่ง ความมานะของบิดา เจ้าสัวคิดเยี่ยงนั้นไหมล่ะเจ้าคะ"
       แสนมองหน้าลูก เด็กชายในห่อผ้าในอ้อมกอดแสนยิ้มอ้อแอ้ ไม่ร้องไห้โยเย เจ้าสัวนิ่งคิดตาม
      
       บนเรือนใหญ่ เด็กหญิงสายฝนร้องไห้จ้าอยู่กลางเบาะที่นอน บุหงาปิดหู ยืนห่างออกมา
       "หยุดร้อง ข้าบอกให้หยุดร้อง"
       "คุณหนูคงอยากให้แม่อุ้มหน่ะเจ้าค่ะ"
       "ข้าไม่อยากอุ้ม บอกให้มันหยุดร้องเดี๋ยวนี้ ไม่หยุดใช่ไหม ถ้างั้นเจ้าก็เอาผ้าปิดปากมัน ให้มันเงียบ"
       เจียมเหวอ เข้าไปใกล้เด็กหญิง เจียมหยิบผ้าอ้อม วางลงบนปากเด็ก แต่ยังไงสายฝนก็ไม่หยุดร้อง
       บุหงาจึงเข้าไปปิดปากสายฝนแทน
       "เงียบ ! ไม่เงียบข้าจะทำให้เงียบ"
       บุหงาจึงกำลังจะเอาผ้ายัดปาก แต่ประตูเปิดผลัวะ เจ้าสัวแสนเข้ามาเสียก่อน
       "สายฝนเป็นอะไร ร้องดังลั่นไปถึงเรือนเล็ก"
       บุหงารีบคลี่ผ้าทำเป็นว่า เช็ดน้ำลายลูก
       "เออ..ไม่ทราบเมือนกันเจ้าคะ คือ บุหงาต้องขอโทษแทนลูกสายฝนด้วยที่ร้องเสียงดัง ทำให้ท่านเจ้าสัวอาจจะรำคาญ"
       แสนเข้าไปดูลูก
       "ไม่เป็นไรหรอก ฉันเพียงแต่เป็นห่วง สายฝนร้องไห้แบบนี้มาเป็นเดือนๆแล้ว ข้าเกรงว่าอาจจะไม่สบาย"
       "ต่อไปบุหงาจะหาทางไม่ให้ลูกร้องเจ้าค่ะ จะให้อีเจียมปิดประตูห้องให้สนิท เสียงจะได้ไม่ดังรบกวนท่าน"
       " ไม่ต้องทำขนาดนั้นหรอกแม่บุหงา มันเกินไป ก็แค่หล่อนย้ายไปอยู่เรือนเล็กก็สิ้นเรื่องแล้ว"
       บุหงาตกใจ มองหน้าเจ้าสัว
       "ท่านเจ้าสัวว่าอย่างไรนะเจ้าคะ"
       แสนพูดนิ่งๆ เหมือนปราณี ลูบหัวลูกสาวตัวน้อยอยู่
       แสนหันมา นิ่ง เข้ม
       "ต่อไปนี้แม่แก้วจะกลับมาอยู่เรือนใหญ่กับข้า ส่วนหล่อนย้ายไปอยู่เรือนเล็กซะ"
       "ท่านเจ้าสัว !"
       บุหงาช็อก ตะลึง มองหน้าเจ้าสัว แทบไม่เชื่อหูกับสิ่งที่ได้ยิน เจ้าสัวออกไป
      
       เจ้าสัวเดินมาหน้าใต้หล้า โบกรถและก้าวขึ้นรถเจ๊ก บุหงารีบตาม
       "ไม่นะเจ้าคะท่านเจ้าสัว ไม่ !บุหงาไม่ยอม"
       "ข้าสั่งไปแล้ว คำไหนคำนั้น"
       "แต่บุหงาเป็นเมียท่านเจ้าสัว บุหงาต้องได้อยู่"
       "ใช่ หล่อนเป็นเมีย แต่แม่แก้วเป็นเมียแต่ง เมียเอก และที่สำคัญมีลูกชายให้กับข้า"
       "ท่านเจ้าสัว ! บุหงาไม่ยอม"
       "หากหล่อนไม่ยอม ไม่อยู่เรือนเล็กในใต้หล้า...ก็จะไม่มีเรือนหลังใดให้หล่อนอยู่"
       เจ้าสัวแสนเด็ดขาด ก้าวขึ้นรถเจ๊ก เจ๊กลากออกไป บุหงามือตกจากการเกาะกุม สุดแสนจะเจ็บใจ
      
       เวลาต่อมา บุหงาก้าวขึ้นเรือนใหญ่ ผ้านุ่งถูกปาออกมาโครมเข้าหน้าบุหงา
       "อ๊าย !"
       บุหงามองไป เลือดขึ้นหน้า
       เจียมอุ้มเด็กหญิงสายฝน พลางวิ่งเก็บของที่ถูกปาออกมาจากในห้อง
       "อีเอื้อย อีเวรตะไล นี่มันข้าวของคุณบุหงานะ"
       เอื้อยโผล่หน้ามาจากห้องโยนของโครมใส่เจียม
       "เอาของๆนายเอ็งไป ห้องนี้เป็นของคุณแก้ว เอ็งจำไม่ได้เหรออีเจียม เอ็งก็เคยทำ ตอนที่เป็นคางคกขึ้นวอใหม่ๆ"
       "นังเอื้อย !"
       บุหงาปราดเข้ามา เงื้อมือจะตบ แต่พวงแก้วเข้ามายื้อมือไว้
       "ไปเห่าหอนที่เรือนเล็กเถอะแม่บุหงา หากยังไม่พอใจ ข้าจะใช้ไอ้อ่ำต่อกรงให้"
       บุหงาออกแรงจะสะบัดตบพวงแก้ว แต่อ่ำเข้ามาใกล้ พร้อมจะช่วยนาย บุหงาสะบัดแขนออก สู้ไม่ได้
       "หอบข้าวของๆหล่อนไปให้สิ้น หรือไม่จะทิ้งไปก็ดี เพราะต่อไป หล่อนไม่จำเป็นต้องนุ่งผ้า หากต้องนุ่งเจียมห่มเจียม"
       "คุณพี่"
       "ท่านเจ้าสัวเป็นผัวข้า เรือนใหญ่ก็ต้องเป็นของข้า ในฐานะที่ข้าเป็นเมียเอก เมียใหญ่ และเป็นแม่ของบุตรชายสุดที่รักของท่านเจ้าสัว ถือซะว่าข้าจะเมตตาหล่อนกับลูกเลี้ยงเอาไว้วิ่งเพ่นพ่านในเรือนให้รำคาญตาเท่านั้น"
      
       แก้วเดินมาดนางพญาเข้าห้องใหญ่ นางชื่น นางฉวี ซึ่งบัดนี้ทั้งคู่ท้องโตใกล้คลอดเต็มที ทั้งคู่ช่วยกันอุ้มลูกสองคนของแก้วตามมา มีบ่าวไพร่หอบข้าวของเป็นขบวน บุหงามองอย่างเจ็บใจ


เวลาต่อเนื่องมา บุหงากรี๊ดสนั่นๆ อยู่ในเรือนหลังเล็ก จนกลบเสียงร้องไห้ของสายฝน
      
       "อีแก้วมันด่ากู...มันด่ากูเหมือน เหมือน..."
       เจียมเสนอหน้าเสร่อ
       "เหมือนสัตว์เจ้าค่ะ เป็นจิ้งจกตุ๊กแกวิ่งเพ่นพ่านในเรือน"
       "นังเจียม !"
       ฉาด ! บุหงาตบเจียมระบายอารมณ์ เจียมถอยกรูด
       "อีแก้วมันถือว่ามีลูกชายให้ท่านเจ้าสัว มันถึงข่มข้าได้....ถ้าข้ามีลูกชาย ข้าจะเป็นใหญ่ในใต้หล้า ไม่ใช่แบบนี้ เป็นเพราะแก อีสายฝน เป็นเพราะแก อีลูกบ้า แกเกิดมาทำไม ทำไม"
       บุหงาลงกับลูกที่ร้องไห้อยู่กลางเตียง เสียงสายฝนยังร้องดังลั่น
      
       เมฆเคลื่อนตัวเป็นกลุ่มก้อน ก่อตัวแล้วม้วนเป็นกลุ่มเมฆฝน กลั่นหยดน้ำตกกระหน่ำลงมา ฟ้าเริ่มมืดแล้วสว่าง เมฆเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วคลี่คลายเป็นฟ้าใสกระจ่าง
       กรุงรัตนโกสินทร์สมัยรัชกาลที่ 5 ในบรรยากาศรถรางเริ่มวิ่ง สลับกับรถเจ๊ก ในแม่น้ำเจ้าพระยา มีเรือพายมากมาย ที่ปากอ่าวไทย เรือรบฝรั่งจอดลอยลำปิดปากอ่าว
       เสียงของเด็กชายหาญ เล่าเรื่องราวยุคสมัย
       ปีนี้ ร.ศ.115 ล่วงผ่านมา 3 ปี จากวิกฤตการณ์ ร.ศ.112 หรือ Franco-Siamese War (ฟรังโก สยามมิส วอร์) เป็นเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างราชอาณาจักรสยามกับฝรั่งเศส
      
       ผ่านเวลา 10 ปี เสียงของหาญอ่านหนังสือเรื่องราวของยุคสมัย ร.ศ.115ให้พ่อกับแม่ฟัง แสนเอนหลังฟังลูกอย่างสบายใจ
       "....จากเหตุการณ์ดังกล่าว เป็นเหตุให้สยามจำต้องยอมยกดินแดนลาวฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงให้กับฝรั่งเศส"
       "เจ้าอ่านหนังสือคล่องแคล่วมาก หาญลูกพ่อ"
       "คำฝาหรั่ง พี่กล้าเป็นผู้สอนลูกขอรับท่านพ่อ"
       กล้าหำลังบีบนวดขาให้แม่ ดูท่าทางของกล้าเป็นลูกรักของพวงแก้ว
       "ดีมาก ทั้งกล้าและหาญ แล้วเจ้ารู้อะไรอีก ลูกหาญ"
       "ซินแสกล่าวว่า ชาวสยามต้องรู้ให้มาก เพื่อจะได้เท่าทันต่างด้าวท้าวต่างแดน ปีนี้การค้ากับต่างชาติมีมากขึ้นในสยาม แม้ตลาดของผู้คนทั่วไปก็คึกคัก ลูกเห็นว่า กิจการของคุณพ่อจะต้องดีขึ้นขอรับ" หาญบอก
       แสนหัวเราะชอบใจ
       "เจ้าเป็นลูกชายที่นำความรุ่งเรืองมาสู่ตระกูล อย่างที่ซินแสบอกจริงๆ"
       แสนลูบหัวหาญ กล้าเจื่อนลง แก้วรู้จากสัมผัสของกล้า ก็หันไปโอบลูกไว้
       "ลูกก็เช่นกันจ้ะ ลูกกล้า ลูกเรียนหนังสือเก่ง สอนน้องดูแลน้องแทนพ่อแม่ แค่นี้แม่ก็ปลื้มใจนัก"
       "ขอบคุณขอรับ นายแม่ นายแม่ขอรับ หากลูกจะขอเรียนวิชาบัญชีจากซินแสเทียนเพิ่มเติม จะได้ไหมขอรับ ลูกอยากแบ่งเบาภาระท่านพ่อ"
       "บัญชี !"
       "ดี เรียนได้เรียนไป แม้ชะตาเจ้าจะไม่ดี แต่ใจเจ้าใฝ่ดี พ่อก็ภูมิใจ"
       แสนภาคภูมิใจ รู้สึกว่าลูกได้เรื่องทั้งสองคน พวงแก้วยิ่งปลาบปลื้มใจมากมีความสุขกับลูกทั้งสองคน
      
       ท้องฟ้ายามค่ำคืน ดวงจันทร์แจ่มกระจ่างกลางฟ้าไร้เมฆ เสียงซออู้ด้วงดังเบาๆลอยอยู่ในอากาศ
       หาญในวัย 10 ขวบ เดินมาตามชานเรือน จะตรงไปทางห้องของแม่ หาญได้ยินเสียงซอ เขานิ่งฟัง
       เสียงเพลงซอหวานปนเศร้าสร้อย หาญเดินไปที่ระเบียงเรือน มองไปรอบตัว ด้วยความสงสัย
       "ดึกดื่นป่านนี้ ใครยังเล่นเพลงซออยู่อีก"
      
       จันทร์เต็มดวงทอดเงาอยู่ในน้ำ เงาของศาลาที่ทอดอยู่นั้น เห็นเงาร่างเด็กหญิงคนหนึ่งในวัยเดียวกันนั่งสีซอด้วง หาญเดินมาตามเสียงซอ เขาแหวกไม้เลื้อยที่ย้อยลงขวางทาง ดอกไม้ร่วงลงติดมือที่หาญแหวก
       หาญถือดอกไม้ติดมือมาด้วย เดินมาถึงศาลา
       ร่างนั้นหันหลังสีซออยู่ที่บันไดท่าน้ำ
       "เพลงซอหวานเสนาะหูนี้ มาจากเจ้านี่เอง"
       เสียงซอชะงักทันที เด็กหญิงเดือน หันขวับมามอง
       หาญมองสบตา
       "เจ้าเป็นใคร"
       เดือนได้ยินคำถามก็ก้มตัวด้วยความกลัว
       "เออ...บ่าวเป็นทาสในใต้หล้าเจ้าคะ"
       "เป็นคนของใต้หล้ารึ...ใยข้าไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อน"
       "บ่าวอยู่แต่ในเรือนครัว ไม่ค่อยได้ออกมาเจ้าค่ะ"
       "อยู่ในเรือนครัว ใยเล่นเพลงซอได้ไพเราะยิ่ง"
       "บ่าวแอบฝึกเจ้าค่ะ"
       "แอบฝึก ! จริงสิ เจ้าเป็นทาส นั่นแสดงว่าเจ้าแอบขโมยเอาซอจากเรือนดนตรีมาฝึกเล่น"
       "บ่าว บ่าวขอโทษเจ้าคะ บ่าวเพียงแค่ชอบดนตรี เสียงซอทำให้บ่าวหายทุกข์ได้"
       หาญเข้าไปใกล้แบบจับผิด เดือนกลัว แต่หาญยิ้ม
       "ไม่เป็นไรหรอก เรื่องนี้จะมีเพียงแค่เรากับเจ้าที่รู้กัน เราจะไม่บอกใคร... ว่าแต่เพลงซอของเจ้าทำไมช่างเศร้าสร้อยนัก"
       "หัวใจทาส ขับเพลงใดก็เหมือนผูกขังชีวิตไว้ ไร้อิสระ"
       "เจ้าอยากมีอิสระหรือ"
       "ความฝันของทาสทุกคนของเพียงมีชีวิตที่อิสระ"
       "หากข้าทำให้ฝันของเจ้าเป็นจริงได้ ข้าจะทำ วันนึงข้าสัญญาจะช่วยเจ้าให้เป็นอิสระ"
       "ท่าน !"
       หาญยื่นดอกไม้ในมือส่งให้ ยิ้มอย่างจริงใจ 
       "แทนคำสัญญา"
      

       เดือนตื้นตันรับดอกไม้จากหาญ มองดอกไม้ในมือดั่งสัญญาจากใจ ทั้งสองมองหน้ากัน

        ชิงรักหักสวาท ตอนที่ 4 (ต่อ)

รุ่งเช้าของวันใหม่ เดือนมองดอกไม้ในมือ แม้จะเหี่ยวก็ยังชื่นชม เอามาทัดหู ก่อนจะรีบช่วยเอื้อยเด็ดผัก
      
       "น้าเอื้อย นั่งพักเถอะจ้ะ เดี๋ยวฉันเด็ดผักให้เอง"
       "ขอบใจนะนังเดือน แหม พี่ชื่น ลูกสาวพี่ตัวเท่านี้ ช่วยงานช่วยการไม่เกี่ยงงอน น่าชื่นใจนะ"
       ชื่นขูดมะพร้าวอยู่ มองเดือนอย่างรักใคร่ ภูมิใจ
       "นังเดือนลูกข้า เป็นเด็กดีข้าก็ชื่นใจ...แล้วนั่น เอ็งเอาดอกไม้เหี่ยวๆที่ไหนมาทัดหูล่ะ"
       เดือนยิ้มบอกตามประสาเด็ก
       "ดอกไม้นี้เป็นดอกไม้แทนสัญญาจ้ะ"
       "เอ็งเพ้อเรอะ ดอกไม้แทนสัญญา สัญญาอะไร" เอื้อยว่า
       "สัญญาจากคุณหาญจ้ะ"
       มุมหนึ่งที่เรือนครัว ดาวกำลังเป่าถ่านให้ติดไฟ ดาวหันมา มือปาดหน้าที่มอมเขม่าอยู่เผยเห็นใบหน้า ดาวที่จ้องเขม็งมาที่เดือนด้วยความอิจฉา
       "คุณหาญ !"
       เอื้อยและชื่น ชะงักฟังลูกอย่างไม่อยากเชื่อ
       "คุณหาญบอกว่าสักวันจะปลดปล่อยฉันให้เป็นอิสระจากความเป็นทาส"
       ดาวลุกขึ้นมาจากหน้าเตาถ่านทันที ก้าวฉับๆตรงเข้ามาที่เดือน
       "  ไม่จริง ข้าไม่เชื่อ แกโกหก"
       ดาวดึงดอกไม้จากทัดหูเดือน มองอย่างอิจฉา ดาวขยำดอกไม้แล้วปาทิ้งลงพื้น
       "เอ๊ะ นังดาว ไปดึงดอกไม้จากนังเดือนมันได้ยังไง มันจะจริงหรือไม่เอ็งก็ไม่ควร นังนี่ขี้อิจฉาแต่เล็กจนโตไม่เปลี่ยน มันน่าตีนัก"
       เอื้อยหยิบก้านกะเพราที่ถูกริดใบออกไปหมดแล้วจะฟาดดาว ดาวขยับหลบ ลอยหน้า
       "น้าเอื้อยตีข้าไม่ได้นะ น้าไม่ใช่แม่ข้า"
       "ก็นังฉวีแม่เอ็งชิงตายไปตั้งแต่คลอดนี่หว่า พวกข้าเลี้ยงเอ็งมาก็ตีได้ มานี่"
       เอื้อยจะไล่ตีดาว ดาวหลบผลักเดือนไปหาเอื้อยแทน ชื่นรำคาญ โวยขึ้น
       "เฮ้ย พอได้แล้ว สำรับคุณหนูเสร็จแล้ว เฮ้ย ใครว่างอยู่เอาไปให้คุณหาญที"
       "ข้าเอง ข้าจะยกสำรับไปให้คุณหาญ"
       "ไม่ต้องเลย อย่างเอ็งไม่มีสิทธิ์ โน่น !ล้างจานโน่น ไป๊"
       เอื้อยยกสำรับไป ดาวเจ็บใจ หันไปมองเดือน หาทางระบาย เดือนกำลังจะก้มหยิบเศษดอกไม้ที่ถูกขยำ
       ดาวเดินมากระทืบดอกไม้ เหยียบมือเดือนข้างหนึ่ง แล้วผละไป เดือนเจ็บแต่ไม่บอกใคร ได้แต่เก็บดอกไม้ขึ้นมามองอย่างทะนุถนอม
      
       บริเวณลานบ่อน้ำหลังครัว ซึ่งมีกาละมังถ้วยชามหม้อไหใช้แล้ววางกองเต็ม ดาวเดินเข้ามาด้วยความโมโห
       "คุณหาญไม่มีทางให้ดอกไม้นังเดือน คุณหาญไม่มีทางสัญญาอะไรกับนังเดือน"
       ดาวกระทืบเท้าด้วยความหงุดหงิด เท้ากระแทกโดนกาละมังจานชาม เจ็บทั้งเท้า เจ็บทั้งใจ มองกองจานชามที่มีแต่ความสกปรก ดาวกระแทกตัวนั่งลง กระแทกจานชามโครม
       "ชีวิตโสโครก...สักวันข้าจะต้องเป็นอิสระ ข้าไม่ยอมเป็นทาสไปจนตายแน่"
       ดาวเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน
      
       บริเวณราวตากผ้ายาว หลายราว หลังเรือนครัว มีผ้าตากอยู่หลายผืนราวกับเป็นม่าน เดือนกำลังตากผ้าอยู่ เธอสะบัด ตาก คลี่ผ้าออก เงาว่อบแว่บอยู่หลังผ้า ทำให้เดือนเอะใจมอง
       หาญแหวกผ้าออก เดือนตกใจ
       "แม่เพลงซอ"
       "คุณหาญ"
       "ตกใจเหรอ ฮ่าฮา คืนนี้แม่เพลงซอเจ้าจะเล่นเพลงซออีกหรือไม่"
       "บ่าว...เอ้อ ไม่ทราบเจ้าค่ะ"
       "ถ้าไม่เล่น เยี่ยงนั้นวันพรุ่ง เจ้ามาฟังข้าเล่นเพลงนะ ที่เรือนใหญ่"
       หาญลากผ้ากลับคืนดั่งเดิมแล้วผลุบหายไป เดือนยังตกใจไม่หาย
       หาญรวบผ้าโผล่มาอีก
       "ว่าแต่เจ้าชื่ออะไร"
       "ข้า....ข้าชื่อเดือนเจ้าค่ะ"
       "เดือน !สมกับตัวเจ้า"
       หาญยิ้มมองเดือน
      
       ดาวเขี่ยจานไปมา มองไปทางอื่นเพราะไม่อยากล้างจาน เห็นหาญคุยกับเดือนอยู่ที่ลานตากผ้า
       "คุณหาญ....นี่คุณหาญมาคุยกับนังเดือน"
       ดาวอิจฉามาก
      
       หาญยิ้มมองเดือน เดือนก้มหน้างุด หลบตา
       "อย่าลืมไปฟังข้าเล่นดนตรีนะเดือน"
       หาญผลุบหายไป เดือนเขิน ตื่นเต้น
       ผ้า มีเงาว่อบแว่บมาอีกเดือนยิ้ม นึกว่าเป็นหาญผ้ารวบเปิดออก
       "คุณหาญ"
       สายฝนเปิดผ้าเข้ามา งง
       "อะไร เอ็งเรียกใครหนะ"
       "เอ้อ... เปล่าเจ้าค่ะคุณสายฝน คุณสายฝนมีอะไรให้บ่าวรับใช้เจ้าคะ"
       "เหมือนเดิม"
       เดือนพยักหน้า สายฝนเหลียวซ้ายขวา
       "งั้นขอบ่าวตากผ้าให้เสร็จก่อนนะเจ้าคะ"
       "ไม่ได้ !เอ็งต้องทำให้ข้าเดี๋ยวนี้ ไป"
      

       สายฝนจิกเสื้อเดือนแล้วลากออกไป เดือนจำต้องทิ้งตะกร้า และผ้าที่ยังเต็มตะกร้าไว้


เดือนร้อยมาลัยจนเสร็จ
      
       "เร็วๆเข้าซิ เดี๋ยวใครมาเห็น" สายฝนบอก
       "เสร็จแล้วเจ้าค่ะ"
       สายฝนกระชากมาลัยไปจากมือเดือน ไม่มีคำขอบใจใดๆทั้งสิ้น
       "ห้ามเอ็งไปบอกใคร"
       "เจ้าค่ะ"
       สายฝนรีบร้อนออกไป ไม่ฟังคำของเดือนด้วยซ้ำ แต่เดือนก็ร้อยมาลัยด้วยความยินดี เป็นบ่าวก็ต้องก้มหน้าก้มตาทำงานที่เจ้านายสั่งทุกคำ
      
       ที่เรือนเล็ก บุหงาสีหน้าหงุดหงิด ตั้งหน้าตั้งตาตวาดสายฝน
       "ฉันให้แกเรียนหัดร้อยมาลัย หัดแกะสลัก แบบพวกคนไทย แกหลบไปขี้เกียจอยู่ไหน ห๊า นังสายฝน"
       "พอดีดอกไม้มันไม่พอ ฉันก็เลยต้องลงไปเก็บในสวน"
       "แน่ใจ"
       สายฝนยื่นมาลัยส่งให้บุหงาดู
       "ฉันเคยโกหกแม่เหรอ มาลัยนี่ฉันก็ร้อยเองเสร็จแล้วเนี่ย"
       เจียมเหล่มองสายฝน เพราะรู้ว่าคนอย่างสายฝนไม่ร้อยเองแน่ สายฝนตวัดสายตากำราบเจียม
       "กะอีแค่มาลัย จะให้ร้อยทำไมไม่รู้ น่าเบื่อ"
       บุหงามองหน้า จับแขนสายฝนบีบแรงๆ
       "จำใส่กะลาหัวไว้นังสายฝน แกเกิดมาเป็นผู้หญิง หน้าที่ของลูกผู้หญิงอย่างแก คือต้องเข้าสมาคมลูกท่านหลานเธอ แกต้องเป็นหน้าเป็นตาให้ท่านเจ้าสัว ฉันต้องไม่เสียหน้าเพราะมีลูกสาวอย่างแก"
       บุหงาบีบตัวสายฝนแน่น สายฝนจ้องหน้าแม่อย่างเด็กดื้อไม่เคยได้รับความรัก เคยได้แต่รับการตีและเสียงด่าทอชิงชัง
       "อยู่ในห้องนี่แหละ ไม่ต้องออกไปไหน อีเจียม ปิดประตูคล้องไว้"
      
       บุหงาก็เดินออกไป เจียมทำตามคำสั่ง ปิดห้องคล้องไว้ไม่ให้สายฝนออกไปไหน แล้วออกตามนายไป สายฝนร้องไห้มองแม่เจ็บใจ
       เดือนเดินกลับมาที่ลานตากผ้า แหวกผ้าออกมาเจอ ชื่นยืนถือไม้รออยู่
       "แม่"
       " เอ็งทิ้งงานไปไหนมานังเดือน"
       "ฉัน เอ่อ..."
       เดือนนึกได้ว่า สัญญากับสายฝนไว้ บอกชื่นไม่ได้ ดาวแหวกผ้าฟ้องปาวๆ
       "ข้าก็บอกน้าชื่นแล้วไง นังเดือนมันคิดแต่จะไปแอบมองคุณหาญ มันต้องหาทางอยากไปคุยกับคุณหาญแน่ๆ นังเดือน เอ็งนี่ กำเริบใหญ่แล้ว"
       "แกทำอย่างที่นังดาวมันพูดจริงหรือเปล่า นังเดือน"
       "เปล่าจ้ะ ฉันเปล่า ฉันไม่กล้าคิด"
       "แล้วเอ็งไปไหนมา"
       เดือนอึกอักตอบไม่ได้ ส่ายหน้าไปมา หลบตาปฏิเสธ เพราะว่า สายฝนสั่งไว้
       "ห้ามเอ็งไปบอกใคร"
    "เห็นไหมล่ะน้าชื่น นังเดือนมันหนีงาน ทีแบบนี้ไม่ตีมัน เอะอะก็ตีแต่ฉัน ลำเอียงเข้าข้างลูกตัวเองนี่หว่า" ดาวว่า
       "ยังไงนังเดือน บอกมา ไม่บอกใช่ไหม"
เดือนไม่ยอมบอก เพื่อความยุติธรรมเพราะเดือนหนีงานไปจริงๆ ชื่นจำเป็นต้องตี ดาวมองเดือนโดนตี สาแก่ใจ
       "ต่อไปนี้ห้ามไปยุ่งเกี่ยวหรือพูดอะไรเกี่ยวกับคุณหาญอีก แกมันเป็นแค่ลูกทาส อย่าคิดสะเออะคิดเทียบนาย รู้ไม๊ เจียมกะลาหัวไว้ด้วย"
       ชื่นพูดจบก็หยุดตี โยนไม้ทิ้งแล้วออกไป ทิ้งเดือนผู้น่าสงสารยืนร้องไห้อย่างเจ็บปวด ดาวมองอย่างสะใจ
      
       เดือนน้ำตาคลอ เก็บดอกไม้เก็บเข็มร้อยมาลัยที่เมื่อสักครู่ไปร้อยให้สายฝน ด้วยกลัวว่าใครมาเห็น
       ดาวเข้ามาเห็นเดือนเก็บกระบุงดอกไม้ พอจะนึกรู้ แต่ตัวเองก็ฟ้องชื่นไปแล้ว
       "ที่แท้เอ็งก็มานั่งร้อยมาลัยให้นังคุณสายฝนนี่เอง"
       เดือนตกใจ
       "เจ้ารู้เหรอ"
       "ข้าเห็นเอ็งโดนนังคุณสายฝนจิกหัวใช้มาแต่ไหนแต่ไร นึกหรือว่าข้าไม่รู้ เฮอะ สมน้ำหน้า แล้วก็ไม่บอกความจริงกับน้าชื่น โดนตีเปล่าเลยเลย"
       ดาวรีบเก็บสีหน้าสมน้ำหน้าเดือนไว้
       "แล้วทำไมดาวถึงบอกแม่ ว่าฉันไปคุยกับคุณหาญหล่ะ"
       "ก็ข้าเห็น เอ็งคุยกับคุณหาญตอนตากผ้า คุณหาญพูดอะไรบ้าง บอกมาซิ"
       "ก็..."
       เดือนอึกอักจะบอกดีไม่บอกดี
       ดาวทนไม่ได้ จับแขนเดือนเขย่ารบเร้าให้พูด
       "อะไร คุณหาญบอกอะไร"
       "วันพรุ่ง..."
       เดือนกระซิบบอกดาว ดาวตาโตยิ้มที่เดือนบอก
      
       ดาวลากเดือนมาทางเรือนใหญ่
       "ดาว เราจะมาดูคุณหาญจริงๆเหรอ" เดือนถาม
       "ก็จริงน่ะสิ คุณหาญเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอ ว่าให้มาฟังดนตรี"
       "แต่เราจะทิ้งงานแล้วไปเรือนใหญ่ไม่ได้นะ ถ้าแม่รู้ โดนตีตายแน่"
       "เอาน่า อย่าพูดมาก มาเถอะ"
      

       ดาวลากเดือนขึ้นบันไดไปที่เรือนใหญ่


        ชิงรักหักสวาท ตอนที่ 4 (ต่อ)

กล้าและหาญอยู่ในวงดนตรีไทย ร่วมเล่นไปด้วย หาญเล่นระนาดเอก กล้าเป่าขลุ่ย มีนักดนตรีไทยอื่นๆเล่นเพลง  "หยก" อยู่ในวง ทำหน้าที่ ตี-กรับ นั่งข้าง "กล้า"
      
       พวงแก้วนั่งฟังอยู่มุมหนึ่งกับเอื้อย พวงแก้วร้อยมาลัย ผู้ดี สวยงาม อีกมุมหนึ่ง เดือนและดาวมานั่งแอบดูอยู่ข้างบันไดเรือน
       สายฝนกำลังหัดรำให้เข้าจังหวะดนตรีไทย ครูเข้ามาดัดแขน ดัดมือให้อ่อน แต่มือไม่อ่อน สายฝนร้อง
       "โอ๊ย !เจ็บ จะดัดไปถึงไหนเนี่ย"
       วงดนตรีไทยหยุดตามที่สายฝนหยุดรำ
       "น้องสายฝน ถ้าน้องยังรำไม่ได้ ก็ไม่ต้องมาให้วงของครูแผ้วเล่นดนตรีให้" หาญบอก
       "พี่หาญก็เล่นให้เข้ากับจังหวะรำของสายฝนสิ"
       "เขามีแต่รำให้เข้าจังหวะดนตรี ไม่ใช่ดื้อดึงให้ดนตรีตามนางรำ" กล้าบอก
       บุหงาฟังแล้วโกรธ เดินเข้ามาใกล้สายฝนแล้วสั่ง
       "สายฝน แกต้องรำให้ได้ แกเป็นลูกท่านเจ้าสัวเหมือนกัน อย่าให้ใครมาดูถูกสิ"
       สายฝนไม่พอใจบุหงาและทุกคน
       แก้วนั่งเอนตัวดูอยู่ ขำเยาะบุหงาและลูก ดาวและเดือนนั่งหลบแอบมองอยู่จึงคิดได้
       "โบราณว่าไม้อ่อนดัดง่าย แต่หากลูกสาวหล่อนดัดเป็นแต่จริต ข้าว่าอย่าฝืนเลย เสียเวลา โน่นแน่ะ !ทาสในเรือนมันมาแอบดูอยู่หลายเพลา ให้มันมารำให้ดูไหม ข้าว่ามันท่าจะรำเป็นกว่าสายฝนนะ" พวงแก้วบอก
       "คุณพี่ !อย่าเอาลูกทาสพวกนั้นมาเปรียบกับลูกบุหงาสิค่ะ"
       พวงแก้วยิ้มเยาะ
       "เอ็งสองคนโน่นแหน่ะ เอ็งมาแอบซุ่มดูอยู่ ออกมานี่สิ ถ้าข้าจะฝึกให้ เอ็งคิดว่าจะรำได้ไหม"
       ดาวและเดือนตกใจ โดยเฉพาะเดือนก้มหน้าก้มตากลัว เอื้อยเห็นก็ตกใจ หาญเห็นเดือนมองก็ดีใจที่มา ส่วนดาวได้ทีรีบลุกขึ้นพูด
       "ได้เจ้าค่ะ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ลูกทาสอย่างเราจะได้เรียนรำเจ้าคะ"
       "ดี แล้วอีกคนหล่ะ ไม่รับใช่ไหม"
       เดือนอ้ำอึ้ง ดาวจึงฉุดขึ้นมาจากที่แอบอยู่ และรีบคะยั้นคะยอให้รับ จนเดือนตัดสินใจ
       "เออ..ได้เจ้าคะ"
       พวงแก้วยิ้มเยาะบุหงา หวังเพียงแค่จะใช้ "ดาว" และ "เดือน" ซึ่งเป็นลูกทาส มาข่มบุหงาและสายฝน ไม่ได้จะคิดเชิดชูในเพลานี้ ส่วนหาญมองเดือนยิ้มดีใจ บุหงาแค้นใจแทบกรี๊ด
      

       ครูสอนรำตั้งวงรำ ดัดท่าให้เดือนและดาว พวงแก้วนั่งมองอยู่ที่ศาลา
       "ครูสอนให้ดีเลยนะ ฉันอยากจะรู้ว่า ลูกทาสสองคนนี้มันจะเอาดีได้บ้างหรือไม่"
       ดาวฟังแล้วรีบรำอย่างตั้งอกตั้งใจฝึก
       ทั้งดาวและเดือนราวกับมีพรสวรรค์ ฝึกง่าย เป็นเร็ว ครูยิ้มชื่นชม เอื้อยมองการฝึก หันมองนายหญิงที่ดูยิ้มเยาะ เอื้อยไม่ค่อยเข้าใจ
       "นังลูกทาสสองคนนี้มันลูกเต้าเหล่าใครนะ ในใต้หล้าคนเยอะ ข้าจำไม่ค่อยได้"
       "นังดาวคนที่หน้าคมๆ รำสะบัดมาดนั่นลูกนังฉวีเจ้าค่ะ"
       "อ๋อ นังฉวี นังฉวีมันตายตอนคลอดนี่"
       "ใช่ เจ้าคะ นังดาวแม่มันชิงตายไป"
       ทั้งคู่มีกิริยาร่ายรำที่ต่างกัน ดาวรำสวยแต่แข็งกว่า ส่วนเดือนรำได้อ่อนช้อย นุ่มนวล
       "ส่วนคนที่รำสวย หน้าหวานหยดย้อยนั่น นังเดือนลูกสาวนังชื่นเจ้าคะ เด็กสองคนเกิดคืนจันทร์เพ็ญเดียวกัน จะต่างกันก็เวลาตกฟากกับชะตาลิขิตเจ้า"
       เอื้อยสงสัย
       "คุณท่านจะชุบชูนังดาวนังเดือนนี่จริงๆหรือเจ้าคะ"
       "เอ็งว่าสายเลือดหยำฉ่ามันจะส่งถึงกันไหมนังเอื้อย"
       "เลือดหยำฉ่า นังบุหงากับลูกมัน"
"ใช่ ข้าจะฝึกลูกทาสสองคนนี้ไว้เทียบกับลูกมัน ให้นังบุหงามันได้อายที่ลูกเลือดแม่มันต่ำตมกว่าลูกทาสในเรือน"
       เอื้อยพยักหน้าอย่างเข้าใจในแผนการ พวงแก้วมองเดือนและดาวที่รำได้ดียิ่งรู้สึกกระหยิ่มใจ
      
       เวลาต่อมา สายฝนถูกเจียมดัดมือดัดแขนให้เป็นวงรำ
       "ตัวอ่อนๆไว้เจ้าค่ะคุณหนูสายฝน"
       "อ๊าก ฉันเจ็บนะนังเจียม"
       สายฝนผลักเจียมออก บุหงารวบพัดแล้วตีมือตีแขนสายฝน
       "โอ๊ย แม่ ไม่ตีให้หักไปเลยล่ะ"
       "ถ้าแกรำสู้นังลูกทาสสองคนนั้นไม่ได้ ฉันก็จะตีให้แกหักไปทั้งตัวเลย คอยดู นังเจียม ดัดมือมัน"
       เจียมรับคำทำตาม ดัดมือดัดแขนสายฝนไม่บันยะบันยัง สายฝนหน้าตาขะมึงทึง หน้าเบี้ยว
      

       ในเวลากลางคืน ชื่นใช้ไม้เรียวฟาดที่ก้นเดือนดังเปรี๊ยะๆ
       "ดูสิ ตีให้ตาย ไม่ยอมทำงาน ออกไปแอบดูนายๆเขารำที่เรือนใหญ่จนได้เรื่อง นังดาวเอ็งด้วย มานี่เลย"
       ดาวไม่ไป ไม่อยากถูกตี
       "ได้เรื่องที่ดีสิน้า เห็นไม๊ พวกฉันได้ฝึกรำแบบพวกคุณๆด้วย น้าควรจะขอบใจฉันนะ ที่ทำให้นังเดือนลูกน้าได้ดิบได้ดีไปด้วย"
       "นังดาว ! ปากดีนักนะเอ็ง มาโดนตีเลย"
       เอื้อยเข้ามารีบห้าม
       "อย่าตีพวกมันเลยพี่ชื่น อย่างที่นังดาวมันบอกก็ถูก พวกมันโชคดีที่คุณท่านเอ็นดูเมตตา" 
เอื้อยเข้าไปคุยกับชื่นใกล้ๆ 
"จริงๆคุณท่านมีแผนอยากได้นังเดือนนังดาวมันมารำข่มคุณสายฝน ลูกคุณบุหงาให้อายหน่ะ"
       "นี่คุณท่านอยากฉีกหน้าคุณบุหงาด้วยการใช้นังสองคนนี้เหรอ"
       "ใช่ เพราะฉะนั้นพี่ชื่นก็หยุดตี และรีบให้พวกมันนอนซะ พรุ่งนี้จะต้องฝึกกันอีก"
       ชื่นเข้าใจจึงรีบหันไปบอกดาวและเดือน
"ไป ! เอ็งสองคนรีบอาบน้ำนอนกันได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องไปฝึกรำอีกหนิ ตั้งใจหล่ะ อย่าทำให้คุณท่านผิดหวังนะ รู้มั๊ย"
      
       ดาวและเดือนได้ยินดีใจกันใหญ่ รีบรับคำแล้วรีบเข้าไปนอนกันเลย


            ในวันรุ่งขึ้น ดาวและเดือน รำอยู่กลางชานเรือนใต้หล้า สายฝนยืนเป็นตัวนำ แต่รำได้ง่อยกว่าดาวและเดือนมากนัก หาญตีระนาดไป มองนางรำลูกทาส หาญมองเดือน ประทับใจที่เดือนรำสวย
       
       กล้าเป่าขลุ่ยไป เหลือบตามองหยกที่ตีกรับให้เข้าจังหวะกัน
       "นังเอื้อยดูสิ ลูกทาสนี่มันรำสวยผิดกำพืดมันจริงๆ ช่างไม่เหมือน..."
       พวงแก้วหัวเราะหึๆ บุหงาเจ็บใจ สายฝนได้ยินที่พวงแก้วพูดเช่นกัน ถึงช่วงรำที่เป็นท่าเสี่ยงพวงมาลัย สายฝนหมุนตัวแล้วไปเบียดดาวและเดือน หาญที่มองอยู่ ได้แต่ส่ายหน้าหึๆ
       ท่ารำเป็นท่าเสี่ยงพวงมาลัย ดาวเหวี่ยงมาลัยไปทางระนาด พวงมาลัยลอยมาตกบนรางระนาด
      
       ผ่านเวลาไป 10 ปี หาญอายุ 20 ปีที่ตีระนาดอยู่ ชะงักมือ เงยหน้าขึ้นมอง ดาวในวัยสาวรำยิ้มเยิ้ม เสี่ยงพวงมาลัยให้หาญ พวงแก้วมองนิ่งขึ้ง เดือนยังรำอยู่ หาญเบนสายตามองเดือน ยิ้มให้หวังว่าเดือนจะเสี่ยงพวงมาลัยมาให้
       เดือนรำสวย เขิน เบี่ยงตัวไปอีกทาง แล้วเสี่ยงมาลัยโยนไปทางพวงแก้วที่ดูพอใจ
       "ขอบใจนังเดือน"
       "นังเดือนมันรำสวยนะเจ้าคะ นังดาวก็สวย แต่ดูคุณหนูสายฝน..."
       สายฝน เหวี่ยงพวงมาลัยอย่างแรงไปทางหยก
       หยกตกใจ สะดุ้ง มาลัยตกพื้น
       สายฝน โกรธ
       "พี่หยก ทำไมไม่รับ"
       "เอ้อ"
       "พี่รับให้ก็ได้" กล้าบอก
       "สายฝนไม่ได้ให้พี่กล้า สายฝนเสี่ยงมาลัยให้พี่หยกต่างหาก"
       พวงแก้วตัดบท ปรบมือ เป็นอันว่าการแสดงจบ
       "กล้า หาญ หยก เล่นไพเราะจับใจมาก วงครูแผ้วด้วยค่ะ นังดาวหล่อนรำสวยติดตา นังเดือนหล่อนก็รำได้สวยติดใจ ส่วนแม่สายฝน หล่อนก็รำได้ดี โดยเฉพาะรำเสี่ยงมาลัยให้ผู้ชาย ข้าว่าหล่อนร่ายรำได้สมกับเป็นลูกสาวแม่บุหงาทีเดียว"
       พวงแก้วหัวเราะหึๆอย่างสะใจ
       บุหงาหน้าชา รู้ตัวว่าถูกเหน็บแนม ตวัดสายตามองสายฝน ทำนองอีลูกไม่เอาไหน เดี๋ยวต้องโดน หาญมองเดือนตาพราว เดือนหลบสายตาทำไม่สนใจ
      
       เรือนหลังเล็ก เวลาถัดมา สายฝนถูกบุหงาจิ้มหน้าผาก และโดนด่า
       "นังสายฝน นังบ้า แกมันไม่ได้เรื่องเลย"
       "โอ๊ย แม่...ฉันทำอะไรผิด"
       "ผิดสิ แค่เกิดมาก็ผิดแล้ว นังชิงนรกเกิด"
       สายฝนมองหน้าแม่ ปัดมือออก ลอยหน้าลอยตา
       "แม่ ไม่เบื่อรึไง แม่ด่าฉันมาอย่างนี้ตั้งแต่เด็กจนโตแล้วเนี่ย"
       "ตายแล้ว คุณหนูคะ อย่าเถียงคุณแม่สิเจ้าคะ" เจียมบอก
       "อีปลาสอด เงียบปากไปเลย" สายฝนหันมาทางบุหงา "ฉันเกิดมาไม่ได้อย่างใจแม่ แม่เลยไม่พอใจ หรือเพราะแม่กลัวฉันจะเป็นเหมือนแม่ล่ะ"
       "นังสายฝน !"
       บุหงาเลือดขึ้นหน้า เจ็บปวด นึกถึงตัวเองที่เคยผ่านการเป็นนางโลมมาก่อน ก่อนจะอยู่เป็นอนุในใต้หล้าแห่งนี้ หนำซ้ำก็มีลูกสาว วาสนาไปไม่ถึงดวงดาว บุหงาตบหน้าสายฝน 1 ฉาด ลูกสาวหน้าหัน ก่อนสะบัดหน้าจ้องบุหงา
       "แม่ตบหน้าฉันเลยรึ"
       "ใช่ ตบ...ให้รู้สึก ให้สำเหนียกใส่กะลาหัว ท่านเจ้าสัวพ่อของแกเมตตาแกเท่าไอ้กล้า ไอ้หาญหรือเปล่า ในเมื่อเเกเกิดเป็นผู้หญิงไม่ได้ดั่งใจท่าน แกก็ต้องทำทุกอย่างให้เชิดหน้าชูตาฉัน เกิดมาไม่ใช่ผู้ชาย ก็ต้องจับผู้ชายดีๆให้ได้สักคน ลูกท่านหลานเธอได้ยิ่งดี"
       "อ๊าย ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ฉันก็ได้แม่มาเต็มๆนั่นแหละ"
       สายฝนลอยหน้า บุหงาเงื้อมือ สายฝนหลบวูบ รีบออกจากห้อง
       "อีนี่ ทำไมกูไม่ปิดปากมันให้ตายตั้งแต่ตอนนั้นนะ ยิ่งเห็นหน้ามันยิ่งเจ็บใจ ทำไมข้าไม่มีลูกชายเหมือนนังแก้ว ข้าต้องหาทางเอาชนะนังแก้วให้ได้"
       ยิ่งวันเวลาผ่านไป บุหงายิ่งเป็นรองพวงแก้วทุกอย่าง
      
       หาญหิ้วพวงมาลัยเข้ามาหาแม่ที่นั่งจัดดอกไม้สบายใจอยู่ที่ศาลามุมหนึ่ง ดาว เดือน เอื้อย ปรนนิบัติอยู่ใกล้ตัว ดาวเงยหน้ายิ้มให้เมื่อเห็นหาญเข้ามา ขณะที่เดือนหลบตา หาญจะมองเดือน อดเอ็นดูไม่ได้ที่เดือนเขินและระวังตัว
       "ท่านแม่จัดดอกไม้ถวายพระหรือขอรับ"
       "จ้ะ มาจัดกับแม่ไหม แม่จะสอน...ลูกควรจะเลือกดอกไม้ที่ดี ที่งาม ที่คู่ควรพอจะอยู่ในแจกัน"
       พวงแก้วกำราบเบาๆ ดาวยังไม่รู้สึก เดือนก้มหน้าต่ำลงไปอีก หาญรู้ว่า แม่เห็นตนมองบ่าวในเรือน
       "ยากจริง เห็นทีลูกคงยังไม่สมควรแก่เวลากระมัง เยี่ยงนั้น ลูกขอฝากดอกไม้ถวายพระด้วยนะขอรับ"
       หาญส่งมาลัยที่ได้รับจากที่ดาวรำเสี่ยงมาลัยโยนมาให้ ดาวสะกิดเดือนให้ดูด้วยความตื่นเต้น คิดเข้าข้างตัวเอง กระซิบบอก
       "นังเดือน เอ็งดู คุณหาญเอามาลัยของข้าถวายพระ คุณหาญเห็นค่าของข้า"
       เดือนโง่เขลา ก็รู้สึกเช่นนั้น พยักหน้าเข้าใจเพื่อน
       "หาญมีงานใดก็ไปทำเถอะ ท่านพ่ออยู่ที่ร้าน คงอยากให้หาญไปช่วยกระมัง"
       "ขอรับ"
       หาญจำใจไปทำงาน แก้วตัดบทเพราะไม่อยากให้หาญสุงสิงกับดาวและเดือนเท่าใดนัก หาญออกไป ก่อนออกแอบมองเดือน ดาวคิดว่ามองตนก็ดีใจ แก้วหันมากำราบทาสทั้งคู่         
       "ลูกหาญข้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ถึงเวลาที่ข้าจะหากุลสตรีคู่ควร ลูกหลานน้ำพระยามาเป็นศรีภรรยาแก่ลูกหาญ พวกเอ็งว่าดีไหม นังดาว นังเดือน"
       "เจ้าค่ะ" เดือนบอก

       ดาวเก็บปากเงียบ รู้ว่าคุณแก้วกันท่า แต่ก็ไม่กล้าหืออือ เดือนมองทางที่หาญเดินออกไปอย่างเจียมตัว



        ชิงรักหักสวาท ตอนที่ 4 (ต่อ)


เจ้าสัวแสนอยู่หน้าร้านขนาดใหญ่หลายคูหาย่านสำเพ็ง อ่ำช่วยแสนขายของ ชายคนหนึ่งดูมีฐานะเข้ามาซื้อของ แต่หิ้วไปที่เกวียนไม่ไหว บ่าวไพร่ก็ของเต็มมือ หาญมาถึงรีบเข้าไปช่วย
      
       "ลุง ฉันช่วย"
       หาญหิ้วของให้ส่งให้ถึงเกวียน หญิงหันมาขอบใจ ลูกค้าอื่นๆชื่นชม
       "ท่านเจ้าสัวกับลูกชายช่างมีน้ำใจ เยี่ยงนี้พวกข้าถึงได้เป็นลูกค้าประจำร้านท่าน"
       "ขอบใจนะ อีกหน่อยข้าจะวางมือให้เจ้าหาญ ลูกชายคนนี้รับช่วงต่อ" แสนบอก
       "ดีๆ ข้ายินดีที่ได้ค้าขายกับคนหนุ่มเอาการเอางาน"
       "ลุงซื้อของมาก เอาไปขายต่อหรือครับ"
       "ใช่...ข้าเอาไปขายต่อที่หัวเมือง"
       "สั่งไว้ล่วงหน้าก็ได้นะครับ ผมเห็นลุงมาประจำทุกเดือน ผมจะได้จัดสินค้าไว้ให้ ไม่ต้องเชื่อ ไม่ต้องมัดจำ ถึงเพลารับสินค้าค่อยมาชำระอัฐ"
       ลูกค้าคิดไปมาสักพัก พยักหน้า หาญยินดีผายมือเชิญเข้าไปดูสินค้าเพิ่ม
       แสนมองหาญเอางานเอาการ ก็ปลื้มใจ
       "ตั้งแต่นายหาญเกิดมา กิจการของท่านเจ้าสัวก็มีแต่เจริญขึ้นๆจริงๆนะขอรับ" อ่ำว่า
       "หาญลูกข้าเป็นอภิชาตบุตร อย่าลืมสิ เออ แล้วเจ้ากล้าอยู่ไหน"
       "สำรวจบัญชีสินค้าอยู่กับคุณหยกขอรับ อันที่จริงคุณกล้าก็ขยันขันแข็งเช่นกัน ดูท่าจะไม่ได้นำเรื่องฉาวโฉ่มาสู่ตระกูลเหมือนคำทำนายหรอกขอรับ"
       "ได้แบบนั้นก็ดี"
       แสนพยักหน้าอย่างพอใจ
      
       ภายในโกดังสินค้าขนาดใหญ่ ในโกดัง แสงสลัวจากช่องหลังคาบางส่วนที่แสงส่องลอดมาเป็นลำ กระสอบข้าวเรียงซ้อนกันสูงท่วมหัว ทางเดินเป็นซอกดูลึกลับน่าค้นหา เสียงหัวเราะหยอกเอินของชาย 2 คนดังเบาๆ
       "คุณกล้าแทงเบาๆอย่างนั้น มันจะใช้ได้หรือขอรับ" หยกว่า
       มุมหนึ่งลึกๆ กล้าเสียบท่อเหล็กแหลมแทงกระสอบข้าวเพื่อดูข้าวเปลือกในกระสอบ กล้าทำไม่คล่อง
       "แล้วข้าต้องทำเยี่ยงไรล่ะพี่หยก"
       หยกเข้ามากุมมือกล้าที่จับเหล็กแหลมอยู่ จับเสียบเข้าไปในกระสอบข้าว หมุนเบาๆ ให้ข้าวสารไหลเทออกมาตามรูเหล็ก
       "แทงแบบนี้"
       ทางเดินระหว่างกระสอบก็แคบ ทำให้หยกและกล้าอยู่ใกล้ชิดเหมือนซ้อนตัวกัน หยกหน้าซื่อๆ ยังไม่ได้นึกอะไร กล้ารู้สึกอึงอล ใจเต้นพิกลอยู่
       " ข้าเข้าใจแล้ว"
       "คุณกล้า คุณหยกขอรับ ท่านเจ้าสัวให้หาขอรับ"
       เสียงอ่ำทำให้ภาวะหยุดเวลานั้นคลี่คลายไป ทั้งคู่ออกห่างจากกัน ต่างคนต่างรู้สึกในใจแต่ไม่ได้พูดอะไรกัน
      

       หาญ กล้า หยก มองหน้ากัน งง แสนโอบลูกชายทั้งสอง สีหน้าดูกระหยิ่มยิ้มแย้ม
       "ทำงานเหนื่อยหนักกันทั้งวัน พ่ออยากให้ลูกทั้งสองได้ผ่อนคลายบ้าง"
       "ผ่อนคลาย ? ลูกก็ไม่ได้คร่ำเคร่งอะไรนี่ขอรับ" หาญว่า
       "เอาน่า ลูกผู้ชายอย่างเจ้าสองคน มันก็ต้องผ่านอะไรอย่างนี้บ้าง"
       ไอ้อ่ำ เอ็งพาลูกข้าไปหาความสำราญที
       "แล้วท่านพ่อไปด้วยกันหรือไม่ขอรับ" กล้าว่า
       "ไม่ล่ะ พวกเจ้าไปกันเถอะ ครั้งแรกนี่นะ ไอ้อ่ำ ดูแลลูกค้าดีๆด้วยหล่ะ"
       แสนตบไหล่ลูกทั้งสอง กล้ายังงงๆ แต่หาญนึกรู้ทันแสน
      
       ยามเย็น หาญ กล้า หยก เดินมาตามถนนสำเพ็ง อ่ำเดินนำแหวกทางให้นาย ผ่านหญิงสาวรายใดหาญก็ยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
       ผู้หญิงหลายคนชะม้ายตาให้กล้า กล้าเดินนิ่งๆไม่ได้มองใคร ผิดกับหาญที่หวานดารดาษ
       "ไปไหนหรือครับ อ่อ ครับ" หาญว่า
       "ทักราวกับรู้จักเขาไปทั่วเลยนะเจ้าหาญ" กล้าบอก
       "ก็ลูกค้าที่ร้านทั้งนั้นนี่พี่กล้า นั่นลูกสาวเจ้าคุณคลัง นั่นลูกสาวหม่อมเอียด นั่น..."
       "ดูท่าเอ็งจะรู้จักแต่สาวๆนะเจ้าหาญ"        
       " ฉันก็ทักไปตามประสา พูดไปถามมา สามวาสองศอก"
       "แล้วนี่รู้หรือเปล่าว่า ท่านพ่อจะให้ไอ้อ่ำพาเราไปไหน ดูท่าเอ็งตั้งแต่ออกจากร้านหัวเราะขำคิกคักมาตลอดทาง"
       "ข้าขำท่านพ่อน่ะสิ อยากให้เราได้ใช้ความหนุ่ม"
       "หมายความว่ายังไงรึน้องหาญ" หยกถาม
       หยกกับกล้าหยุดถาม หาญมองหน้าสองคน ยิ่งหัวเราะขำ
       "เดี๋ยวพวกพี่ก็รู้"
       อ่ำหันมา ยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยกับนายทั้งสอง
       "ถึงแล้วขอรับคุณกล้า คุณหาญ คุณหยก"
       อ่ำผายมือ ทั้งหมดมองไปที่โรงน้ำชาและสำนักนางโลมหอจันทร์ฉาย ซึ่งแฝงตัวอยู่ในตรอกแห่งหนึ่งย่านสำเพ็ง มีโคมแดงแขวนอยู่หน้าสำนัก
       กล้ากับหยกโพล่งพร้อมกัน "หอจันทร์ฉาย !"

       หาญหัวเราะพี่ๆ

ภายในโรงน้ำชา กล้าและหยกมีหญิงนางโลมนุ่งห่มบางเบาน้อยชิ้น รุมปรนนิบัติรินน้ำจันทน์ให้ หยกและกล้าดูประดักประเดิด เก้อเขิน
       
       หาญมีหญิงนางโลมคนหนึ่งออเซาะอยู่ แต่หาญเบี่ยงตัวออกห่าง
       "ข้ารินน้ำจันทน์เองได้ พวกเจ้าดูแลพี่ข้าให้ดีเถอะ"
       อ่ำอยู่มุมหนึ่ง ได้ผลพลอยได้จากการเฝ้านายมาเฝ้ามองนางรำบนเวทีด้วย
       "คุณหนูขอรับ ระบำนางฟ้าเริ่มแล้วขอรับ โอย เป็นบุญของไอ้อ่ำจริงๆ ได้ติดตามคุณหนูทั้งสามมาที่นี่"
       อ่ำเกาะขานายๆ บีบนวด หาญ กล้า และหยก มองไปที่เวที
       กลางโรงน้ำชา นางระบำรำฟ้อนผ้าออกมาเป็นกลุ่ม แต่ละนางแต่งกายบางเบา ดนตรีจีนแว่วหวานดังก้อง มีเสียงซอเอ้อหูเป็นดนตรีเอก
       หาญเหลียวหาที่มาของซอ
       กลางหอนางโลม ผ้าผืนบางทิ้งตัวลงมาจากด้านบน
       ด้านบนหอนางโลม มุมหนึ่งคนงานในหอกำลังสาวเชือกกับรอก ฟ้าหยาดนั่งอยู่บนชิงช้าผ้าลอยช้าๆลงมาจากด้านบน ฟ้าหยาดเล่นซอเอ้อหู ไพเราะจับใจ ราวกับเป็นนางฟ้าลอยลงมา
       มีเสียงฮือฮาอื้ออึงจากคนมาเที่ยวทั้งหอนางโลม ทุกคนแหงนมองฟ้าหยาดเป็นตาเดียว ต่างตะลึง


       "ฟ้าหยาด...โอว ฟ้าหยาด"


ฟ้าหยาด สวย หวาน หยาดเยิ้ม นางชะม้ายดวงตาดั่งกวางน้อยสบตาผู้ชายทุกคนในหอ
       พลัน ฟ้าหยาดตะลึงนิ่งอึ้ง เมื่อสบตากับหาญ ทั้งคู่มองหน้ากัน ฟ้าหยาดรู้สึกถูกชะตาหาญตั้งแต่แรกเห็น
       ชิงช้าของฟ้าหยาดลอยมาต่ำจนถึงกลางเวที นางระบำรำฟ้อนรอบๆ ฟ้าหยาดที่ยังนั่งห้อยขาเล่นซอเอ้อหู อยู่บนชิงช้า
       "ข้า...ฟ้าหยาด มิปรารถนาสิ่งใดนอกจากรักแท้...ข้าหวังเพียงชายผู้เมตตา มอบน้ำใจแด่ข้าเท่านั้น"
       ฟ้าหยาดลงจากชิงช้า ส่งซอให้นางรำรับไปเก็บ ฟ้าหยาดเดินไปพลางชะม้ายตาให้ลูกค้า
       ลูกค้าชายแทบจะเอาอัฐิมาประเคนให้ คนให้อัฐิน้อย ฟ้าหยาดรินเหล้าเพียงเล็กน้อย คนให้อัฐิมากฟ้าหยาดเก็บเงินใส่อกเสื้อ ท่าทางเย้ายวน เอียงตัวหา แอ่นอกจังหวะยัดเงินใส่ เหล่าชายอู้อ้า
       ฟ้าหยาดเดินมาถึงโต๊ะหาญ กล้า และหยก
       "พี่กล้าแหล่ะครับ ส่งอัฐิให้นาง"
       "ไม่ล่ะน้องหาญ พี่...ไม่สันทัด"
       หาญหัวเราะ
       "คิดว่าฉันสันทัดหรือพี่กล้า ท่านพ่อนะท่านพ่อ อยากให้เรามาทำอะไรก็ไม่รู้"
       ฟ้าหยาดมาถึง เห็นหนุ่มๆโต๊ะนี้นั่งนิ่ง ฟ้าหยาดประชิดกายเข้าใกล้หาญ
       "นายท่านมีรัก หรือต้องการรักล่ะเจ้าคะ"
       "ความรักถามหากันไม่ได้หรอกแม่นาง ต้องรู้สึก"
       หาญยิ้มลุกขึ้น กล้าและหยกได้จังหวะ ลุกออกไปเช่นกันเพราะอึดอัด เริ่มอยู่ไม่ได้
       "นายท่านจะไปไหนหรือเจ้าคะ ข้ายังมิได้มอบความรักให้ท่านเลย"
       ฟ้าหยาดจับแขน หาญค่อยๆปลดมือฟ้าหยาดออกอย่างสุภาพ
       "ขออภัยแม่หญิง ข้ามิได้มุ่งมาหาความรักในที่แห่งนี้....ข้าขอให้เจ้าได้เจอรักแท้ที่เจ้าต้องการนะ"
       หาญลุกออกไป ฟ้าหยาดยื่นมือจนสุดแขน แต่มิทันเสียแล้ว หาญจากไป ฟ้าหยาดรู้สึกถูกชะตาต้องใจหาญยิ่งนัก ยิ่งท่าทางสุภาพของหาญ ยิ่งทำให้ฟ้าหยาดประทับใจ
      

ฟ้ามืดแล้ว ทุกคนเดินมาด้วยกันในตรอก สวนกับนักเที่ยว หาญหัวเราะพวกพี่ๆ แต่ทั้งกล้าและหยกยังตัวสั่น
       "โอย ท่านพ่อท่านคิดอะไรของท่าน ผู้หญิงพวกนั้นมือไม้เปะปะไปหมด พี่ขนลุกจะแย่"
       "พี่ก็ไม่ไหวเหมือนกัน ของแบบนี้ ไม่ใช่วิสัย"
       "ฮ่าๆ พวกพี่ช่างไม่เดียงสา ดูสิ หน้าซีดเหมือนโดนผีหลอกมาอย่างนั้น พวกนางออกจะสวยสะคราญ"
       "เจ้ามาที่นี่บ่อยล่ะสิ หาญ" กล้าถาม
       "ไม่เคยเลยขอรับ แต่ฟังจากพวกลูกค้าเล่าให้ฟัง ก็พอรู้มาบ้าง แต่ไม่คิดจะเที่ยวสำราญแบบนี้หรอก"
       "นายท่าน นายท่านเจ้าคะ"
       หาญ หยก กล้า เหลียวกลับไปมอง ฟ้าหยาดวิ่งออกมาจากโรงน้ำชา ตรงมาหาหาญ
       "นายท่านลืมของเจ้าค่ะ"
       หาญงง
       "อะไรหรือ"
ฟ้าหยาดจับมือหาญแบออกแล้ววางของบางอย่างใส่มือ แล้วชะม้ายตาทิ้งท้ายก่อนจะวิ่งกลับเข้าไปในหอนางโลม
       หาญแบมือดูของในมือ แปลกใจ... ปิ่นปักผมติดดอกโบตั๋น
      
       หาญถือปิ่นปักผมติดดอกโบตั๋น ไม่ได้อยากเก็บไว้จะหาที่ทิ้ง สายฝนเดินเข้ามา เห็นหาญทำท่าแปลกๆ
       "พี่หาญ หาอะไรอยู่เหรอ"
       "พี่ว่าจะหาที่ทิ้งของนี่"
       "ของอะไร สายฝนดูหน่อย"
       สายฝนวิสาสะดูปิ่นปักผม
       "สวยจัง พี่หาญไปได้มาจากที่ใด"
       "จากไหนก็ช่างเถอะ แต่พี่ไม่ต้องการ"
       "งั้นปิ่นนี้ สายฝนขอนะ"
       "สายฝนชอบเหรอ ถ้าอย่างนั้นพี่ให้ แล้วอย่าบอกใครนะว่าเอาจากไหน"
       หาญโล่งอกที่กำจัดปิ่นปักผมไปได้ เดินออกไป สายฝนได้ปิ่นปักผม ไม่รู้ความหมายหรือที่มาว่ามาจากไหน คืออะไร สายฝนเอาปิ่นปักผมมาปัก
      
       ฝนเดินมาทางเรือนเล็ก มีปิ่นปักผมปักมวยอยู่ สายฝนดูอารมณ์ดีดีดดิ้นเล็กน้อยเพราะรู้สึกว่าตัวเองสวยขึ้นเนื่องจากปักปิ่นดอกไม้แดง
       บุหงามองอยู่ เมื่อเห็นปิ่นปักผมชัดๆ บุหงาเดินเข้ามา       
       "ปิ่นปักผมดอกโบตั๋น"
       "อุ๊ย สวยจัง คุณสายฝนไปได้มาแต่ไหนนะเจ้าคะ" เจียมว่า
       "นังสายฝน แกเอาปิ่นปักผมนั่นมาจากไหน"
       สายฝนชะงักที่บุหงาดูมีทีท่าไม่พอใจ
       "แม่จะรู้ไปทำไม"  "แกไปได้มายังไง ใครไปที่นั่น"
       "ฉันจะได้มายังไงก็เรื่องของฉัน ปิ่นปักผมนี้เป็นของฉัน แม่อย่ามายุ่ง"
       "ฉันไม่ให้แกปักปิ่นอันนี้ ไม่..."
       บุหงาเดินเข้ามาจะดึงออก สายฝนหลบ
       "อ๊าย แม่ เป็นบ้าอะไร ปล่อยนะ ฉันไม่ให้"  
       "ฉันไม่ให้แกปักปิ่นดอกโบตั๋นนี่"
       "แม่รู้จักด้วยเหรอ"
สายฝนจ้องหน้า บุหงาอึ้ง กระชากหัวสายฝนมา และกระชากปิ่นปักผมออกไป หักปิ่นต่อหน้าสายฝน
       "แม่"
       "ห้ามปักปิ่นแบบนี้อีก อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับมัน"
       สายฝนงงและโมโหแม่ กระทืบเท้าออกไป
       บุหงากำปิ่นที่หักไว้แน่น จนปิ่นทิ่มมือเลือดหยดออกมา เจียมรีบถลามาหา
       "คุณบุหงาเจ้าคะ...ปิ่นดอกไม้นี่คืออะไรหรือเจ้าคะ"
       "ปิ่นดอกโบตั๋น...เป็นสัญลักษณ์นางโลมที่หอจันทร์ฉาย ไม่มีใครมี นอกจากนางโลมที่นั่นที่เดียวเท่านั้น"
       เจียมตกใจ นึกถึงว่าเอาลูกสาวบุหงาคนแรกไปทิ้งไว้ให้เว่ยชิงที่นั่น  
       "ข้าทิ้งอดีตไว้ที่นั่นข้าไม่อยากให้ใครไปที่นั่นอีก ความลับบางอย่างของข้า มันอยู่ที่นั่น ...หอจันทร์ฉาย"
      

       บุหงานึกย้อนความทวนไป ความหลังเป็นระลอกคลื่นตีตลบจนจุกอก


อ่านต่อ . . .   

Ref :
 
Share this article :

แสดงความคิดเห็น

 
Support : Creating Website | Johny Template | Mas Template
Copyright © 2011. LakornDD - All Rights Reserved
Template Created by Creating Website Published by Mas Template
Proudly powered by Blogger